ใจสั่น ใจหวิว

ใจสั่น ใจหวิว

นิ่งเฉย...อาจเสี่ยงหลอดเลือดสมองอุดตัน

ผู้ที่มีอาการใจสั่น ใจหวิว หน้ามืดคล้ายจะเป็นลมอันเกิดจากโรคหัวใจเต้นผิดปกติ อย่านิ่งนอนใจเพราะหากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาที่ตรงจุดอย่างถูกวิธีแล้วอาจเสี่ยงให้เกิดอาการหลอดเลือดในสมองอุดตันและเสียชีวิตในที่สุด

ทั้งนี้ต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองอุดตันในผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดปกตินั้นเกิดจากโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดหนึ่งที่เรียกว่า AF (Atrial Fibrillation) ขณะเกิด AF หัวใจห้องบนจะเต้นด้วยความเร็วมากกว่า 400 ครั้งต่อนาที ทำให้หัวใจห้องล่างเต้นด้วยความเร็ว 100 – 200 ครั้งต่อนาที หัวใจห้องบนจะเต้นเร็วแต่บีบตัวได้ไม่ดี ทำให้มีเลือดค้างอยู่ในหัวใจ ส่งผลให้เลือดตกตะกอนเป็นก้อนเล็กๆ อยู่มนหัวใจแล้วอาจหลุดลอยไปอุดตันในหลอดเลือดสมองส่งผลให้เกิดอัมพฤกษ์อัมพาตได้

นอกจากนี้ลิ่มเลือดยังยังอาจหลุดไปอุดตันในหลอดเลือดแดงอื่นๆ เช่น หลอดเลือดแดงของแขน ขา หรือในช่องท้องก็ได้

อาการเตือนเบื้องต้นของหลอดเลือดสมองอุดตัน คือ ผู้ป่วยจะมีอาการแขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก อาจเป็นข้างซ้ายหรือขวาก็ได้ บางรายมีอาการหน้าชา ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด ตามืดชั่วคราว และบางรายอาจมีอาการชาครึ่งซีกร่วมด้วย ผู้ป่วย AF ที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อาทิ ผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 75 ปี เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว จะเพิ่มโอกาสในการเป็นหลอดเลือดสมองอุดตันให้มีมากขึ้น อาจมากขึ้นถึง 16 – 20 เท่า

การรักษา AF อาจรักษาได้ด้วยการรับประทานยาต้าน AF ร่วมกับรับประทานยาต้านเกล็ดเลือดเพื่อป้องกันเลือดตกตะกอน

การรักษาด้วยการใช้ยาเป็นเพียงแค่วิธีการควบคุมและป้องกันเท่านั้น ไม่สามารถทำให้โรค AF หายขาดได้ แต่วิธีการหนึ่งที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วและได้รับความนิยมมากขึ้นคือการใช้คลื่นวิทยุจี้จุดกำเนิดไฟฟ้าส่วนเกิน ภายในหัวใจห้องบนที่ก่อให้เกิด AF ให้กลับมาเป็นปกติ ซึ่งจุดกำเนิดไฟฟ้าส่วนนี้สามารถตรวจพบด้วยเครื่องค้นหาตำแหน่งการเกิดวงจรไฟฟ้าภายในหัวใจชนิด 3 มิติ (CARTRO System)

การรักษาด้วยวิธีนี้สามารถทำให้ผู้ป่วย AF หายขาดได้ ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องรับประธานยาไปตลอดชีวิตละลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือสมองอุดตันได้อีกทางหนึ่งด้วย

“เลือดที่ตกตะกอนเป็นก้อนเล็กๆ อยู่ในหัวใจอาจหลุดลอบไปอุดตันในหลอดเลือดสมอง ส่งผลให้เกิดอัมพฤกษ์อัมพาตได้”

จากหนังสือ คู่สร้างคู่สม ปีที่ 31 ฉบับที่ 689 ประจำวันที่ 10 – 20 ตุลาคม ทศ 2 2553หน้า22สุขภาพโดยหมอราม