วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พฤติกรรมการสื่อสารกับเด็กสมัยนี้



แม้เฟื่องจะยังอายุไม่มาก (เหรอ..? แหมขึ้นต้นเลขสองยังถือว่ายังไม่มากหรอก....ใช่ไหม? คะ)
จากที่มีประสบการณ์ทำงานมานี้ ได้พบเจอนักศึกษามากมายที่เข้ามาติดต่องานเค้ามักจะเข้ามาหาเรา แต่เค้าไม่รู้จะเริ่มต้นจะพูดอะไร ยังไง แล้วเค้าก็ตัดสินใจพูดประโยค ๆ หนึ่ง ขึ้นมา เอ้...เรียกว่า วลี ดีกว่านะคะ เพราะว่าประโยคจะเป็นประโยคได้ตามหลักวิชาภาษาไทยที่เคยเรียนมาต้องมี ประธาน+กริยา+กรรม ใช่ไหมคะถึงจะเรียกว่าประโยค หรือตามหลักวิชาภาษาอังกฤษก็ต้องมี Subject+Verb+object ใช่ไหมคะ ยกตัวอย่าง ฉันเดินไปโีรงเรียนทุกวัน I walk to school everyday... เป็นต้น
ส่วนวลีคือคำพูดที่ไม่เป็นประโยคบางครั้งไม่มีความหมาย หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ขาด ประธาน กริยา หรือ กรรม อันใดอันหนึ่งไปนั่นแหละ อันนี้เลยเด็กสมัยนี้นิยมพูดมาก ๆ เลยค่ะ ทำให้เราต้องมานั่งคิดต่อว่ามันหมายถึงอะไร พูดอะไรไม่เคย clear เลย เราต้องคิดและช่วยเค้าโดยการถามคำถามต่อที่เราคิดว่าน่าจะเป็น และคำถามที่ตอบง่ายที่สุดคือ คำถามที่ตอบแค่ Yes หรือ No ค่ะ (โอ้ พระเจ้า.....) บางครั้งเด็กไม่เข้าใจเราหาว่าเราไปหาเรื่องเค้า หาว่าเราไปกวนประสาทเค้าบ้าง (ถึงเค้าไม่พูดเราก็รู้ทัน) พูดมายาวละ ยกตัวอย่างให้ดูแล้วกันค่ะ เช่น ถ้าเค้าต้องการอะไรสักอย่างเค้าเพียงแค่คิดว่าและพูดว่า อะไร ทำไม ยังไง ที่ไหน อย่างไร แค่นี้ เราก็เข้าใจและให้บริการในสิ่งที่เค้าต้องการอย่างถูกต้องได้แล้ว แต่เค้าไม่พูด...เช่น อยู่ดี ๆ มาหาเราแล้วพูดว่า "ขอซอง 2 ซอง" ถ้าคุณถ้ายินแบบนี้คุณจะทำอย่างไรคะ....ถามได้ก็อึ้งซิคะ และรีบใช้มันสมองที่เรามีอยู่คิดใหญ่เลย ว่า "มันหมายความว่าไงเนี่ย" แล้วก็รวบรวมสติพร้อมกับถามต่อเพื่อเป็นการช่วยเหลือน้องเค้า "น้องจะเอาซองแบบไหนคะ" (อ้าวเมื่อกี้บอกว่าให้ถามแบบ yes no ไม่ใช่เหรอ) (ก็เห็นหน้าน้องเค้าก็อายุก็คงพอ ๆ กับเราเลยเลื่อนระดับคำถามจากปรนัยเป็นอัตนัยแทนค่ะ) แล้วท่านเชื่อไหมคะ Oh God! เค้าตอบไม่ได้เลยจริง ๆ ไม่เป็นไรเราก็ออกโจทย์ใหม่ให้ก็ได้ ถามต่อว่า "ใครให้หนูมาเอาคะ" (ในใจเราคิดว่าถ้าเค้าตอบมาเราก็จะพยายามนึกต่อว่าอาจารย์คนนั้นเค้าต้องการซองแบบไหน) น้องตอบว่า "อ.ปู" ค่ะ (สมองดับทันทีค่ะเรา นึกไม่ออกเลย เพราะจะสถิติ อ.ปู ยังไม่เคยมาขอซองจดหมายกับเรา แล้ว อ.ปูจะเอาซองแบบไหน...) ช่วงนั้นบรรยากาศเงียบมากค่ะ วังแวงสุด ๆ (กลัวเด็กหาว่าเราโง่สุด ๆ ) เด็กเลยพูดวลีขึ้นมาอย่างลอย ๆ อีกว่า "ใช้ ป.โท" (โอ้พระเจ้ารอบที่สาม...อ.ปู มาเกี่ยวข้องอะไรกับป.โท อีก) (คิดหนักอีกละ เลยรีบตัดสินใจอย่างนักธุรกิจตัดสินใจลงทุนทันทีถามต่อว่า) "อ.ปู มาเกี่ยวอะไรกับป.โท คะน้อง" น้องตอบเพิ่มเติม "ให้อ.ปู เขียนใบรับรองเรียนป.โท" (โอ้...พระเจ้าทรงโปรด) ข้าพเจ้าได้คำตอบแล้ว อ๋อ...เล่าข้ามไปหน่อยค่ะ ถามน้องเค้าด้วยว่า "น้องขอให้ใคร" น้องเค้าบอกว่า "อ.ปู" เราก็เลยถามย้ำกับน้องเค้าว่า "สรุปน้องขอให้ครูปูใช่ไหมคะ?" (เพื่อทดสอบว่าเราไม่ได้หูฝาด) น้องตอบ "ใช่ค่ะ" (ยืนยันคำตอบเดิม) แล้วเราก็ประมวลผลได้ละว่าน้องเค้าต้องการซองจดหมายสองซองเพื่อใช้ใส่หนังสือรับรองการเข้าเรียนต่อป.โท บัญชี ของเค้าเอง" (แล้วมันธุระของเราไหมเนี่ยต้องหาซองให้....ความคิดเฟื่องนะ ถ้าเราไปขอร้องอาจารย์เราก็ควรที่จะอำนวยความสะดวกให้อาจารย์ ไม่ใช่ให้อาจารย์รับรองให้แล้วก็หาซองใส่ให้เราเองด้วยนะ (เอาดีน่อ) ) พอตอนจบก็เลยแอบเหน็บไปหน่อยว่า "สรุปแล้วจริง ๆ ก็ขอซองให้หนูใช่ไหม?" เค้าไม่ตอบค่ะ และไม่ขอบคุณ แถมด้วยทำกริยาประกอบด้วย (ขอไม่พูด) ถ้าน้องเค้าเดินมาหาเฟื่องแล้วพูดว่า "พี่คะ...หนูรบกวนขอซอง 2 ซอง จะเอาไปใส่หนังสือรับรองเรียนต่อป.โทรที่อ.ปูรับรองให้หนู" แค่นี้เอง คุณคิดว่าใช้เวลาเท่าไหร่ในการพูดและง่ายต่อการเข้าใจกับคนที่กำลังสนทนาไหมคะ? และดีกว่าไหม? เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่ได้เล่าให้ฟังดังกล่าว อันไหนใช้เวลานานกว่ากันคะ....
แหม....เด็กสมัยนี้ ช่วงป้าเฟื่องบ่นจบแล้วค่ะ....

@@แอบขอยืมชื่ออ.ปูมาอ้างอิงคงไม่ว่ากันนะคะ....อิ ๆ

7 ความคิดเห็น:

  1. อ่านมาทั้งหมด ชอบชื่อช่วงนี้จริงๆ จ๊ะ
    "ช่วงป้าเฟื่องบ่น"
    ^_^

    ตอบลบ
  2. บ่นอย่างมีสาระ...อิ ๆ

    ตอบลบ
  3. บ่นแล้วสบายใจขึ้นมั้ยจ๊ะ

    ตอบลบ
  4. ก็บ่นอาจช่วยระบายความในใจได้บ้างค่ะ แต่ให้ดีกว่านี้ถ้าเด็ก ๆ ได้ฝึกฝนการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นที่สุภาพ และมีไหวพริบกว่านี้...

    ตอบลบ
  5. 555555 .... ไม่บ่นก็ไม่ใช่เฟื่องสิคะ....

    ตอบลบ