การมีลูกคนเดียว เป็นโจทย์ข้อใหญ่ของครอบครัวผมครับ
เหตุผลที่เลือกมีลูก 1 คน ก็คือ พ่อกับแม่มัน (หมายถึงตัวผม) ยังคงเห็นแก่ตัวอยู่มาก คิดว่า "ลูกคนเดียวก็คงพอมีเวลาดูแล และพอมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง" (ครอบครัวที่มีลูกสองคนขึ้นไป ผมซูฮกเลยครับ ยอด ๆ)
แต่เราก็รวบรวมข้อเสียที่อาจจะตามมาเช่น
1. อันดับ 1 เลยคือ เด็กจะเอาแต่ใจตัวเอง
2. ได้แต่ของดี ๆ จนติดนิสัยใช้เงิน
3. อาจเข้ากับคนได้ยาก เด็กจะออกแนวขี้อาย (so shy) ไม่เข้าฝูงชน
วิธีแก้
เมื่อเขาเริ่มรู้ความแทบจะทุกอาทิตย์ผมจะพาเขาไปเที่ยวบ้านเพื่อน ๆ ที่เขามีลูกวัยเดียวกันหรือใกล้เคียง เพื่อให้เรียนรู้จักสิ่งมีชีวิตขนาดใกล้เคียงกัน
พยายามเอาของเล่นของเขาไปด้วย เพราะต้องเกิดการแย่งกันแน่ ๆ
แต่จะพูดคุยให้ แบ่งปัน ได้ก็ดีครับ หากไม่ได้ก็อย่าฝืน
ใช้เวลา ใจเย็น ๆ
คอยดูห่าง ๆ นะครับ อย่าไปยุ่ง (ด้วยอำนาจของผู้ใหญ่) อาจมีการดึง การกระชากบ้าง นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ปล่อยไป
หากบ้านที่จะไป จัดงานวันเกิด ก็ให้เขาเลือกของขวัญวันเกิด ให้น้อง หรือ พี่ เจ้าของงานด้วย
แรก ๆ ก็ยากนะ เธอจะไม่ยอมเอาของขวัญให้เจ้าของงานนะ
งานไหนมีเด็กหลายวัย ยิ่งท้าทายครับ เพราะ เสี่ยงต่อการถูกเด็กใหญ่กว่า รังเก
เวลาผ่านไป 18 ปีครับ ผลเสีย 3 ข้อก็มีบ้างเล็กน้อย แต่ไม่หนักใจครับ ผมเดินผ่านทางนี้มาแล้ว ก็พอมีเรื่องแบ่งปันครับ
หนูเห็นด้วยนะคะ ข้อเสียที่ครูยุทธพูด เพราะหนูถึงแม้ยังไม่มีลูก แต่ก็สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกนั้นได้ ได้มาจากการสังเกตเด็กข้างบ้านเนี่ยล่ะค่ะ น้องเค้าเป็นลูกคนเดียว เค้าได้ทุกอย่างที่อยากได้ และที่สำคัญพ่อแม่เค้าไม่เคยแข็งใส่เขาเมื่อเขาทำผิด แม่เด็กคนนั้นบอกว่าพูดดี ๆ เค้าไม่ฟัง ต้องด่าหรือตะหวาดใส่หรือให้เด็กลองทำอะไรเองโดยปราศจากการแนะนำ แต่ถึงด่าถ้าเด็กจะทำก็ทำแล้วเค้าก็ปล่อย แบบนี้เฟื่องไม่เห็นด้วย ทำให้เด็กไม่มีความอ่อนโยนในตัวเอง บางครั้งน้องเค้ามาเล่นกับเฟื่อง เฟื่องเคยทดสอบเค้า สิ่งไหนที่เราเห็นว่าไม่ควรพูดกับเค้าและอธิบายด้วยเหตุผลเค้าจะเถียงทุกคำพูดเลยค่ะ แม้กระทั่งเราพูดอะไรลอย ๆ เค้าจะต่อคำเราทันทีและคำพูดส่วนใหญ่มักเป็นคำพูดที่ยังไม่ถึงวัยเค้าด้วยซ้ำที่จะเรียนรู้ แต่ก็ไม่รู้ไปเอามาจากไหน (สงสัยจากเพื่อน....) ต่อไปเริ่มแผนสอง เฟื่องทดลองตอนที่เด็กกำลังจะเข้ามาจับปลาทองในบ้านเฟื่อง (ปลาอยู่ในอ่างบัวน่ะค่ะ) เฟื่องบอกว่าอย่าทำมัน ปลามันทำอะไรให้เหรอ ทำไมต้องทำร้ายมัน ผล=เด็กไม่สนใจคำพูด กำลังจะเดินเข้ามาใกล้อีก ทีนี้เฟื่องทำตาโตและสีหน้าไม่พอใจพร้อมกับบอกว่าอย่าเข้ามานะ เข้ามาจะตีเลย ผล=เด็กกลัวมากและวิ่งหนีไปเลย....จริง ๆ ไม่อยากทำนะคะ แต่เราต้องทำใจแข็งถ้าเด็กทำผิดบ้าง....
ตอบลบ"พูดให้มันฟังมันก็ไม่ฟัง" "ด่ามันก็เถียง" "ลมบ่อดี" "มันจะเอาจะได" "เถียงบ่อต่กฟาก" คำมรดกเหล่านี้ได้ยินจนเบื่อ เป็นคำแสดงภาพ ณ ปลายเหตุ แสดงความขาดการเอาใจใส่ มาแก้ตรงปลายทางก็ยาก การแก้ง่าย ๆ คือ ผู้ใหญ่ใช้อำนาจ (เหมือนที่หนูทำ)
ตอบลบการดูแล = การดู + การแล สรุปคือ อยู่ในสายตาตลอด
ตอนนี้เเจ้าดรณ์ 1 ขวบ 8 เดือน รู้อะไรๆ เยอะมาก รู้จักมีเงื่อนไขแล้ว
ตอบลบอย่างตอนกินข้าว จะเดินมาดูว่าวันนี้กินอะไร แล้วจะชี้เลยว่าจะเอา น้ำซุป หรือ ตุ๋น(ไข่ตุ๋น) หรือ เต้าหู้ หรือ ไข่(ไข่แดงของไข่ต้ม) เมื่อก่อนยังพอหลอกได้ว่า ลูกกินคำนี้ก่อน เดี๋ยวแม่ตักให้ เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว คุณดรณ์บอกกินอะไรก็ต้องตักอันนั้น บอกความต้องการของตัวเองได้ เช่น กินนม กินข้าว ถ้าไม่อิ่มจะบอก เติมๆ ถ้าอิ่มก็จะบอก อิ่มๆ ..... ท่อง A-Z ได้แล้ว ท่อง 1-10 ได้แล้ว แต่ ก-ฮ ยังได้คำสุดท้ายอยู่ ..... ที่สำคัญ เวลาไม่เอาอะไร คุณดรณ์จะส่ายหัวแล้วบอก " บะเอาๆ " ...... ^_^
เด็กเป็นผ้าขาว สิ่งที่เขารู้ และทำ ล้วนมีต้นแบบ
ตอบลบเด็กเป็นนัก copy ตัวยง
พ่อ แม่เป็นต้นแบบหลัก หรือเป็นผู้ปกครองที่อยู่ด้วย
ต่อมาก็ TV วิดีโอ เพื่อน
หากสายใยพ่อแม่เหนี่ยวแน่น ก็จะกลายเป็นอิทธิพลหลัก ไม่มีอะไรเทียบได้
@พี่แตง --แหมลูกพี่แตงนี่อินเตอร์จริง ๆ นะคะ...
ตอบลบ@ อ.ยุทธ --คือ หนูหมายถึง เด็กถ้าไม่เคยได้รับบทลงโทษก็ไม่เคยเรียนรู้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ที่หนูเล่ามาทั้งหมดคือพ่อแม่เด็กข้างบ้านเค้าไม่เคยสอนลูกเค้าในสิ่งที่ทำผิดแล้วลงโทษเค้าให้เค้ารู้ว่านั่นไม่ดีนี่ไม่ดี แต่เค้าทำได้แค่เฉย ๆ กับเด็กน่ะค่ะ...ไม่อธิบายให้เด็กเข้าใจ เด็กจึงไม่เกิดการเรียนรู้และการรับรู้ที่ดี....
หนูเป็นลูกคนเดียวค่ะ เลยไม่รู้จะพูดอะไรดี แบบว่า มันก็คงเป็นคน ๆ ไปนะคะ หนูคิดว่าขึ้นอยู่กับแนวความคิดของพ่อแม่ค่ะ
ตอบลบเมื่อวันศุกร์ได้รับสมุดรายงานพัฒนาการของดรณ์ สรุปว่าพัฒนาการต่างๆ ของดรณ์อยู่ที่ประมาณเด็ก 23-26 เดือน ตอนนี้ดรณ์ 20 เดือน เร็วกว่าวัยไปนิดหน่อย .... อ่านดูแล้วพ่อแม่ยิ้มแก้มแทบแตก ....
ตอบลบแต่เสาร์อาทิตย์นี้ ดรณ์ป่วยเล็กน้อย มี ไอ+น้ำมูก+อ้วก แต่ที่สำคัญที่สุดคือเจ้าทิงเจอร์ไม่ยอมกินยา .... ต้องให้พ่อออกแรงเล็กน้อย .....
แต่วันนี้ดีขึ้นมากแล้ว ไม่มีอ้วกแล้ว มีไอเหลืออีกนิดหน่อย
เช้านี้เดินเข้าโรงเรียนไปเองได้เลย โดยมีการแวะทักทายห้องเด็กเล็กราวกับตัวเองเป็นพี่ใหญ่ขาโจ๋ .... เจ้าดรณ์เอ๊ย.... ^_^
มีลูกคนเดียวเช่นกันค่ะ ไม่ค่อยมีอาการเอาแต่ใจค่ะ
ตอบลบอย่างครูยุทธว่าเลยนะคะ ได้ของดีดีทุกอย่างแบบไม่ต้องขอเลย ลูกสาวดีหน่อยตรงที่ไม่ชอบช้อปปิ้ง ไม่เรียกร้องของอะไรนอกจากหนังสือกับเรื่องกินค่ะ ของอย่างอื่นแม่ซะอีกถามให้(ยัดเยียดให้ซะอีก)
อีกอย่างนึงเป็นพี่สาวคนโตของบรรดาหลานปู่ค่ะ มีน้องสาวอีก 4 คน น้องชายอีก 1 คน เลยรู้จักแบ่งปัน เลี้ยงน้อง ดูแลน้องได้ ปรองดองเป็น เลยเป็นที่รักของน้องๆ ค่ะ
อีกมุม
เล็กๆ น่ารักมั่กๆ
โตมา น่า.... (she ดื้อเงียบอ่ะค่ะ..พอเราจะสอน..เบรกก่อนเลย "รู้แล้วๆ พอๆ" แม่อึ้งค่ะ)
ลูกสาวยังมีโรคประจำตัวอีก เลยมี exception บ้างเล็กน้อยตั้งแต่เล็ก เลยติดมาจนโตค่ะ
อืม มีลูกคนเดียวเหมือนกันค่ะ
ตอบลบเคยถามเค้าว่าอยากมีน้องไม๊ เค้าบอกว่าไม่อยากมี เค้ามีพี่สาวแล้ว
ไม่อยากมีน้อย พี่สาวเค้าคือพี่ไอ ลูกลุงใหญ่นั่นเองค่ะ ไปบ้านลุงทีก้อจะชวนพี่ไอเล่นของเล่นด้วยแม้ว่าพี่จะหมดวัยเล่นแล้วก้อต้องเล่นด้วยไม่งั้นจะงอนพี่ ไม่ค่อยหวงของเล่นแต่หวงแม่มากกว่า จะไปอุ้มเด็กเล็ก หรือหอมแก้มไม่ได้ จะงอนแล้วก้อไปแอบเพราะคิดว่าแม่ไม่รัก ต้องปลอบกันอยู่นานเหมือนกัน เข้าคนได้ง่าย แต่ก้อดื้อเหมือนกันค่ะ
แหะ แหะ คุณแม่ลูกสามขอแจม..... จะคนเดียว หรือกี่คน อยู่ที่การเลี้ยงดูของพ่อแม่ และที่สำคัญคือ อุปนิสัยส่วนตัวของเด็กค่ะ แม่หมูอ้วนของต้อย ตอนเด็ก ๆ คุณเธอก็ทำตัวประหนึ่งว่าเป็นลูกคนเดียวค่ะ จะต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ในขณะที่พี่กับน้องยอมให้ตลอด โลกส่วนตัวสูง..... ตอนแรกคิดว่าลูกผิดปกติ แต่โตขึ้นก็ดีขึ้น...... ณ ปัจจุบัน ก็ยังมีหลง ๆ มาบ้าง..... ก็อยู่ที่คุณพ่อกับคุณแม่จะเข้าใจเขาแค่ไหน และจะคอยตะล่อมไม่ให้ออกนอกกรอบมากเกินไปได้ยังไง .... เลี้ยงลูกเดี๋ยวนี้เหนื่อยใจค่ะ..... ครูดาวอดทนนะคะ วัยรุ่นสมัยนี้ก็แบบนี้แหละค่ะ รู้ทุกอย่าง แต่จะทำไหม นั่นอีกเรื่องค่ะ..... ให้กำลังใจคุณพ่อ คุณแม่ทุกคนค้าบบบบบบ
ตอบลบ