มองโลกทางลบ ย่อมพบจุดอับตัน ทุกวันมนุษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยงการได้ยิน การมองเห็นที่ผ่านการรับรู้ทุก ๆ ด้าน การรับรู้ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม ภาษาพระเรียกว่า “อายตนะ” กล่าวคือ ทุกปฏิกิริยาของอารมณ์ภายนอกจะต้องมีจุดเชื่อมต่อเสมอ เช่น ตาทำงานควบคู่กับรูป หูทำงานควบคู่กับเสียง และการรับรู้ทั้งหมดประมวลไปที่การทำงานของจิตใจ ดังนั้น การทำงานของจิตใจบางครั้งไม่จำเป็นต้องมีแรงกระตุ้นจากภายนอก เนื่องจากจิตมีเสบียงภายในที่มากโขอยู่แล้ว และการทำงานของจิตนี้เองส่งผลให้มนุษย์มีพฤติกรรมการกระทำ ความคิดทัศนคติการมองโลกมองสังคม มองความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์แตกต่างกัน ซึ่งภาษาวิชาการเรียกว่า การมองโลกในแง่ลบหรือแง่บวก และการมองโลกในสองด้านนี้เองทำเกิดความแตกต่างในชีวิต กล่าวคือ หากผู้ใดต้องการความสงบสุข ใจชุ่ม ให้ฝึกมองโลกในแง่บวกให้มากไว้ กระทั่งทำให้เป็นอุปนิสัยสันดาน จนติดแน่นเป็นพฤติกรรม แล้วจะสามารถหาความสุขท่ามกลางความทุกข์ได้ เช่นเดียวกันผู้มีพฤติกรรมมองโลกในแง่ลบ มองสังคมและคนอื่นในแง่เอาเปรียบก็ย่อมได้รับความทุกข์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ยอดแห่งนักจิตวิทยาเช่นพระพุทธเจ้าก็เคยบอกแก่พวกเราว่า ใครก็ตามที่มองโลกในแง่ร้ายแต่ละวันใช้เวลาให้หมดไปกับความเพียรพยายามในการนินทา ประทุษร้ายคนอื่นย่อมประสบสิ่งไม่พึงประสงค์ ๑๐ อย่างทันทีทันใดคือ ๑. ความรู้สึกทุกข์ อันเกิดจากอารมณ์ที่ไม่ปกติ เนื่องจากการพยายามที่จะทำให้อีกฝ่ายได้รับในสิ่งที่ตนกำลังพยายามทำ ดังนั้น ความทุกข์ตัวแรกจะต้องเกิดกับตนก่อน อย่างน้อยที่สุดคือการก่อให้เกิดการมองโลกที่มัวหมอง ๒. ความหยาบคาย เป็นผลสืบเนื่องจากความรู้สึกทุกข์ หรือการแสดงอารมณ์ที่ไม่ปกติให้คนรอบข้างได้สัมผัสหรือได้เห็น หากเราด่าคนอื่น คนอื่นก็สามารถด่าเราได้เช่นกัน ภาษิตว่า การจะให้คนอื่นไหว้ตนนั้นต้องไหว้คนอื่นก่อน การที่จะให้คนอื่นให้นั้นต้องรู้จักให้เสียก่อน ๓. ความเสื่อม ผู้พยายามจะทำร้ายหรือทำลายคนอื่น ย่อมได้รับความเสื่อม อย่างน้อยที่สุดในเบื้องต้น ความทุกข์ก็จะกัดกร่อนตนเองหรือเมื่อลงมือกระทำลงไปกฎหมายบ้านเมืองก็จะเข้ามามีบทบาทในการตัดสิน ทำให้เสียชื่อเสียง หน้าตาและวงศ์ตระกูล ๔. ได้รับบาดเจ็บ หากคู่กรณีมีการต่อสู้หรือปกป้อง อีกทั้งมีการโต้ตอบจากอีกฝ่าย ผลที่ตามมาก็คือ อาจทำให้ร่างกายพิกลพิการหรือมากกว่านั้น ๕. ประสบเคราะห์หนัก กล่าว คือ ผู้ที่จ้องทำร้ายและทำลายคนอื่น จิตย่อมใฝ่ในการทำความชั่ว ดังนั้น สภาพจิตย่อมกังวล ความสะสมนี้อาจก่อให้เกิดโรคเครียดเป็นอย่างน้อย หากมากกว่านั้นก็คือ อาจมีอาการป่วยทางจิต ๖. สภาพจิตไม่แช่มชื่น อานิสงส์ของการมองโลกในแง่ดี ไม่คิดเบียดเบียนคนอื่น การแพทย์แผนปัจจุบันยังเชื่อว่า จะส่งผลต่อการรักษาโรคต่าง ๆ ได้ ดังนั้น คนที่คิดจะทำลายหรือทำร้ายคนย่อมเหมือนกับเทน้ำมันราดตนแล้วเผาไฟนั้นเอง ๗. ถูกตราหน้าว่า เป็นคนเลว ถูกกล่าวตู่ด้วยคำเท็จ ด้วยความที่ภาพลักษณ์เป็นคนจ้องทำลายและประทุษร้ายคนอื่น ไม่มองตัวมัวดูความผิดคนอื่น เมื่อถูกจับได้ก็จะถูกตราหน้าจากสังคม ๘.ญาติพี่น้องไม่คบหา หลังถูกตราหน้าเป็นคนเลว ความที่เป็นคนมีนิสัยประทุษร้ายคนอื่น ไม่ว่าจะด้วยปากหรือการกระทำ ย่อมทำให้คนอื่นเอาตัวออกห่างซึ่งก็รวมทั้งญาติพี่น้องด้วย โดยที่สุดแม้กระทั่งคนในครอบครัว วงศ์ตระกูล ๙. ทรัพย์สมบัติก็สิ้นสูญ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำให้ทรัพย์สมบัติให้เกิดได้เท่านั้น แม้ทรัพย์สมบัติเก่าที่มีอยู่ก็อาจถูกยึด ถูกริบสิ้นไปได้ ๑๐. ย่อมตกนรก โดยที่สุดคนเช่นนี้ ในชาติปัจจุบันเขาได้ก่อความทุกข์ต่อคนอื่นและสังคม ภายหลังสิ้นชีพเขาย่อมตกไปสู่อบายภูมิซึ่งเป็นความทุกข์ที่ยิ่งกว่า จึงทำให้เห็นชัดว่า คนเลว จิตใจต่ำช้า โง่เขลา เป็นเหมือนคนที่จุดไฟเผาเรือนตนเอง แล้วคนที่ได้รับทุกข์มากที่สุดจะเป็นใครละ พระมหาปุณณ์สมบัติ ปภากโร ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการ มมร วิทยาเขตล้านนา |
วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554
มองโลกแง่ลบ ย่อมพบขบจุดอับตัน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
เราคงจะต้องมองโลกในแง่บวกกันแล้วใช่ไหม่คะเพื่อ...***
ตอบลบถูกค่ะ...มุมมองในแง่ดีทำให้ตัวเองมีสุขและคนรอบข้าง...
ตอบลบที่มมร.ล้านนามีบทความดีๆๆเยอะมาก ว่างๆลองแวะไปกอยเน้อเจ้าจากศิษย์มมร.เจ้า
ตอบลบเชิญชวนทุกคนมองโลกแง่ดีเจ้า
ตอบลบขึ้นอยู่กับความคิดนะคะ ครูแดง ถ้างานเยอะ มองในแง่ดี ก็ว่าดีแล้วที่มีงานทำ เงินเดือนเพิ่มน้อย ก็ว่า ดีแล้วที่ไม่ลดลง นะคะ....คริ คริ คริ
ตอบลบ