วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

ทฤษฏีเซลล์กระจกเงา(Mirror Neurons)


mirror neuron เธอคือฉัน ฉันคือเธอ
"เราเป็นเพียงเงาสะท้อนของกันและกัน"
ใครสักคนกล่าวไว้ นานมาแล้ว และมันก็คงไม่ต่างจากความจริงนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ mirror neuron ที่เป็นกลุ่มของเส้นประสาทในสมองที่ทำหน้าที่จำลองสัญญาณประสาทของคนที่ได้ เคลื่อนไหวหรือแสดงออกความรู้สึกใดๆออกมา ให้มาอยู่ในสมองของเรา "ผู้สังเกต" ทันที โดยไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ใดๆพิเศษเพิ่มเติม ความเป็น"เขา"มันเข้ามาอยู่ในตัวเราโดยอัตโนมัติทันทีแล้ว อย่างเช่น ดูหนังที่นักแสดงแสดงอารมณ์ต่างๆออกมา คลื่นสมองของนักแสดงเป็นอย่างไร เราก็จะได้รับคลื่นนั้นด้วย ถ้าเขาแสดงดีเราก็จะซาบซึ้งตรึงใจไปกับเขา แต่ถ้าเขาแสดงหลอกๆ เราก็สามารถที่จะจับได้เช่นกันเพราะมันบอกกับเราเลยว่ามันไม่ใช่อารมณ์ในฉาก นั้นๆ หรือแม้กระทั่งดูการแสดงอย่างการเต้นบัลเล่ต์ คาโปเอร่า หรือ นาฏศิลป์ไทย เราก็ดื่มด่ำและรู้สึกตามไปกับการเคลื่อนไหวนั้นๆได้ ไม่ว่ามันจะรุนแรง รวดเร็ว พลิ้วไหว หรือ เชื่องช้า การที่เรารู้สึกเช่นนั้นได้เป็นเพราะเส้นประสาทนี้ต่อโดยตรงไปยังเส้นประสาท อื่นๆที่ควบคุมระบบภายในร่างกายและต่อไปยังสมองส่วนกลาง (limbic system) ที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก
การค้นพบนี้ก็เป็นการแสดงว่าการเรียนรู้ของคน เรานั้นเปิดกว้างตลอดเวลาและตื่นตัวเสมอ (active)ไม่ใช่ว่าประสบการณ์ การเรียนรู้ อยู่กับที่ให้เราไปหาอย่างเดียว (passive) ขณะที่เราจ้องมองมัน เราก็ได้บันทึกการเรียนรู้นั้นไว้แล้วเหมือนเราเป็นผู้ทำสิ่งนั้นเอง แน่นอน เส้นประสาท mirror neuron นี้สำคัญมากกับการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มันอาจมองได้ว่ามันคือเส้นประสาทสังคม หรือ เส้นประสาทเพื่อวัฒนธรรม ความรู้ต่างๆของเราที่สะสมถ่ายทอดกันมานานได้เพราะคนทุกคนมีระบบเส้นประสาท นี้ช่วยเหลือ ลองคิดเล่นๆ ถ้าคนไหนมีเส้นประสาทนี้มากกว่าปกติ อาจทำให้คนๆนั้นรับรู้คนอื่นได้มากขึ้น รุนแรงขึ้น บางครั้งเขาอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีพลังจิตแบบ ไซโคเมทเลอร์ ที่อ่านใจคนอื่นได้ หรืออย่างพระหรือฤาษีที่ได้ฝึกฝนจิตอย่างสูงจนได้ฤทธิ์อภิญญารู้ใจคนอื่น ก็อาจจะเป็นการเพิ่มเส้นประสาทนี้ไปก็ได้ ในอนาคตบางทีเราอาจจะสร้างคนที่เข้าใจคนอื่นได้ดีกว่าเดิมก็ได้โดยเฉพาะคน พวกกระหายสงครามให้เอามาผ่าตัดเสริมเส้นประสาทนี้เข้าไป
ในทางกลับกันคน ที่ขาดเส้นประสาทนี้ไปอย่างเด็กที่เป็นออทิสติก จะไม่สามารถเรียนรู้สังคมได้ดี จะไม่รู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาจะสนใจแต่ของๆเขาเท่านั้น ดังนั้นการดูแลเด็กพวกนี้เราต้องให้ความรักกับเขาให้มากกว่าปกติ สำหรับคนธรรมดาก็ทำให้เราเข้าใจกลไกในตัวเองได้มากขึ้นว่าทำไมเราต้องอยู่ เป็นส่วนรวม เป็นสัตว์สังคม แต่ก็เป็นไปได้ที่คนจะหลงลืม ปิดกั้นตัวเองจากคนรอบข้าง ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติ ก็เป็นเรื่องที่ทำลายตัวเองไป แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเพียงการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ แม้จะน่าเชื่อถือ แต่การที่เราทดลองหามันด้วยตัวเองจะเป็นการดีกว่า
วันนี้ก็ลองกลับไปมองคนที่คุณรัก ด้วยสายตาเปี่ยมความรู้สึกของคุณก็แล้วกัน
ที่มา:คม ชัด ลึกไม่สามารถระบุวันที่ได้เนื่องจากไม่ชัดเจนค่ะ

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วิถีแห่งวินัยกุญแจไขไปสู่ความสุข


ข้อมูลสำหรับสื่อมวลชน
วิถีแห่งวินัย
กุญแจไขสู่ความสุข
คนส่วนใหญ่มักมีมุมมองต่อเรื่องวินัยว่านำไปสู่ความตึงเครียด โดยลืมมองมุมกลับว่าการขาดวินัย คือชนวนแห่งความล้มเหลว การเกิดปัญหาทับถมซ ้ าซ้อน และนำไปสู่ความเครียด ความทุกข์จนถึงขั้ นฆ่าตัวตา เพราะไร้ทางออกในที่สุด
ตัวอย่างใกล้ตัวง่ายๆ คือ การจับจ่ายแบบขาดวินัยทางการเงินทั้ งระดับกระเป๋ าชาวบ้าน ไปจนถึง กระเป๋ าประเทศชาติ นำไปสู่การกู ้ กู ้ และกู ้ อันเป็นต้นทางแห่งความระทมทุกข์และนานาปัญหารุมเร้าในบั้ น ปลาย
ในสังคมไทยเรามีเสียงบ่นเสมอว่า คนไทยติดนิสัยทำอะไรตามใจ คือไทยแท้เป็นสังคมที่ขาดวินัย ทำให้เจริญช้า ไม่ว่าคำกล่าวที่ว่าเป็นเรื่องจริงเพียงไร แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับและมีการกล่าวซ ้ าๆ สืบต่อกั มาจนถึงวันนี ้
วิถีสุขฉบับนี ้ ขอนำข้อคิดดีๆ จาก .นพ.รณชัย คงสกนธ์ แห่งภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี ที่อยู่ใน www.hiso.or.th ว่าด้วยการสร้างวินัยอย่างฉลาดเพื่อให้ชีวิตและงาน ประสบความสำเร็จ ชีวิตเป็นสุขมานำเสนอ
ความสำเร็จในการทำงานทุกสิ่งทุกอย่างอย่ที่วินัย ู
.นพ.รณชัย กระบุว่า ทุกวงการไม่ว่าจะเล็กใหญ่เพียงใดจำต้องมีวินัย มิฉะนั้ นแล้ววงการนั้ นก็ไม่อาจ ทำอะไรให้สำเร็จได้ ในที่สุดก็ต้องเลิกล้มไป
เมื่อเราเข้าโรงเรียน เราก็พบกับวินัยของโรงเรียน ซึ่งบางทีเราก็พยายามหลีกเลี่ยง เป็นทหารก็พบกับ วินัยที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ถ้าได้เข้าทีมฟุตบอลหรือทีมกีฬาก็พบกับวินัยอีก ทีมฟุตบอลหากไม่มีวินัยก็ยากที่จะเอาชนะ ค่ต่อส้ได้ ู ู การที่วงการเหล่านี้จะมีวินัยดี คือให้สมาชิกปฏิบัติตามระเบียบ ที่วงการนั้ นๆ ตั้ งขึ้น สมาชิกทุกคน จะต้องมีวินัยของตัวเองเสียก่อน
ต่อไปนี ้ คือวิธีคิดและวิธีการในการสร้างวินัยให้ตนเอง - กำหนดความมุ่งหมายให้ชัดเจน
ความมุ่งหมายนั้ นอาจเป็นงานที่ต้องทำในระยะยาว หรือเป็นงานในวันหนึ่ งๆก็ได้ แต่โดยมากเป็นงานที่ ต้องใช้เวลานาน ท่านต้องเขียนเรื่องที่ท่านต้องการจะทำให้สำเร็จลงเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะจะทำให้ท่าน เห็นชัดขึ้ น และรู้แผนงานแน่นอนกว่าที่จะติดเอาไว้ในใจ ท่านต้องเขียนจุดมุ่งหมาย หรือเรื่องที่ท่านต้องทำให้ แจ่มแจ้งชัดเจน ต่อจากนั้ นก็เขียนแผนงานว่าจะทำอะไรก่อนหลังเป็นลำดับไปจนถึงที่สุด


1
                        -
เริ่มทำจากส่วนเล็กหรือส่วนย่อยๆ ก่อน

เวลาจะทำอะไร ถ้าคิดใหญ่โตเกินไปนักก็จะเกิดท้อจึงมีข้อแนะนำว่าควรแยกส่วนใหญ่นั้ นออกเป็น ส่วนย่อยๆ แล้วทำให้เสร็จไปทีละส่วน จะพบว่าไม่เหนื่อยแรงและทำได้ง่าย เมื่อแรกลงมือทำนั้ นอาจรู้สึกอึดอัดใจ คิดอะไรไม่ออก ทำอะไรก็ไม่ค่อยคล่องแคล่ว แต่ถ้าแข็งใจทำต่อไป ก็จะรู้สึกว่าทำได้รวดเร็ว คล่องแคล่วขึ้ น
เคล็ดลับสำคัญในการปูพื ้ นฐานการสร้างวินัยให้ตนเองนั้ น ศ.นพ.ณชัย ระบุว่า อย่าวางแผนอย่างคิด ฝัน ต้องดูว่าในวิสัยที่ปฏิบัติได้จริง และเมื่อได้กำหนดอะไรลงไปแล้วต้องบังคับใจปฏิบัติตามแผนให้ได้ตาม กำหนด
แรกๆ จะร้สึกว่ายากมากทีเดียว ู ระยะนี้แหละ ที่ท่านต้องเอาชนะใจให้ได้ หากท่านชนะหนแรก ก็จะ ทำให้ท่านมีกำลังใจแรงขึ้น ต่อไปท่านก็เอาชนะใจของตัวเองได้ง่ายขึ้น ท่านก็จะกลายเป็นคนมีระเบียบ มี ความสำเร็จและเป็นที่เชื่อถือของคนอื่นๆอาจารย์ให้กำลังใจ
ท้ายสุด รศ.รณชัย มีข้อแนะนำปลีกย่อยอีกบางประการ นั่ นคือ หนึ่ง ต้องพยายามรักษาระเบียบและ ความเรียบร้อย สอง ฝึกตัวเองให้พักผ่อนเป็น และ สาม คือ ลองทำงานที่ยากเสียบ้าง
นี่คือหนึ่งในฐานอันแข็งแกร่งของการมีชีวิตที่ถกคุกคามจากความทุกข์ที่มีสาเหตุจาก ู ความเครียด ชีวิตที่สับสน และผิดพลาดซํ้าๆ ได้อย่างชะงัด
สืบค้นได้จาก http://www.hiso.or.th/
สร้างวินัย ใช้เวลาแค่วันละ 14 นาที!
วันหนึ่งมี 1,440 นาที ท่านอาจจะใช้เป็น เวลานอนเสีย 440 นาที ยังมีเวลาอีก 1,000 นาที ท่านควร แบ่งเวลานั้ นมาสัก 14 นาทีในวันหนึ่ งๆ ว่าวันรุ่งขึ้ นท่านจะทำอะไรบ้าง ท่านเคยเขียนแผนงานประจำวัน บ้างหรือ เปล่า เชื่อว่ามีน้อยคนหรืออาจไม่มีเลย แต่ว่าการกระทำดังนี ้เป็นการฝึกตนเองอย่างเยี่ยม
รายการที่จะเขียนไว้สำหรับวันรุ่งขึ้ นก็คือ วันรุ่งจะทำอะไรบ้าง เขียนไว้เป็นเรื่องๆตามลำดับ ความสำคัญ ทำเครื่องหมายสำหรับเรื่องที่จะต้องให้เสร็จในวันนั้ นๆ พอรุ่งขึ้ นท่านทำตามแผนงานที่กำหนด จน หมดเวลางาน ท่านก็เอาแผนงานมาดูว่าได้ทำอะไรเสร็จไปบ้าง มีอะไรค้างอยู ่ จะทำต่อไปวันรุ่งขึ้ นอีกอย่างไร

ข้อมูลเพิมเติม ติดตอ กติมาภรณ์ ่ ่ิ081 449 7479

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วิปัสสนาฉบับมือใหม่หัดขับ ๔๖ ตอน มีนิพพานเป็นอารมณ์


นิพพานเป็นสิ่งสูงสุดของศาสนา พอมีคำว่าสูงสุดเข้ามาเกี่ยวข้อง ชาวพุทธก็เลยคิดไปไกลเกินความเป็นจริง คือคิดว่ามันคงเป็นของวิเศษ เป็นเหมือนแก้วสารพัดนึกอะไรสักอย่าง ด้วยความศรัทธาในศาสนาจึงมีความปรารถนาสิ่งสูงสุดอันนั้น แม้จะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ชาวพุทธเกือบทุกคนก็ตั้งความปรารถนาในนิพพานกันทั้งนั้น แต่ระบบการเรียนการสอน การถ่ายทอดหลักธรรมของสังคมเราน่าจะมีปัญหา มีแต่คนต้องการนิพพาน แต่ขาดคนสนใจใคร่ศึกษาเรียนรู้ว่านิพพานแท้จริงมันคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร ชาวโลกสามารถได้ประโยชน์จากนิพพานในแง่ใดบ้าง เราขาดการชี้แนะในเรื่องนี้ นิพพานเลยกลายเป็นนิยายปรำปราที่ทุกคนต้องการ แต่ไม่รู้ว่าจะได้อย่างไร ได้เมื่อไร โดยวิธีไหน น้อยคนจริงๆที่จะรู้และเข้าใจ

ดังนั้นเราจึงควรพูดถึงกล่าวถึง นิพพานกันให้มากกว่านี้ ให้มากให้ถูกต้องสมกับที่เป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์พึงมีพึงได้ เพื่อคนที่มีปัญญาพอที่จะไคว่คว้ามาได้ จะได้รู้ตัวว่า เราๆท่านๆนี่แหละสามารถเข้าถึงนิพพานได้ ในขณะตัวเป็นๆนี่แหละ ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่นี่แหละ ในขณะเวลาเช้าสายบ่ายค่ำ วันนี้วันพรุ่งนี้นี่แหละ เราสามารถมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้ตลอดเวลาถ้าเรารู้จักนิพพานที่แท้จริง

ตามหลักปฏิจจสมุปปบาทได้กล่าวไว้ว่าเมื่อสิ้นภพ คือสิ้นความมีความเป็น หมายถึงสิ้นความรู้สึกว่ามีสิ่งใดเป็นสิ่งใด หรือสิ่งใดมีสิ่งใดเป็น เมื่อสิ้นความมีความเป็นก็สิ้นชาติสิ้นการเกิด เมื่อไม่มีการเกิดก็ย่อมสิ้นทุกข์ คำว่าสิ้นทุกข์ก็คือนิพพานนั่นเอง จึงมีในหลายพระสูตรกล่าวไว้ว่านิพพานคือการสิ้นภพสิ้นชาติ พระพุทธเจ้ายังตรัสตอนตรัสรู้ว่า"ภพใหม่เราไม่มีอีกแล้ว" นั่นหมายถึงเมื่อใดเราถอนความเห็นว่ามีออกเสียได้ ไม่ว่าจะเป็นการมีจิต การมีกาย การมีตัวฉัน การมีของฉัน การมีการเป็นในสิ่งใดๆ ถ้าเราถอนความเห็นว่ามีว่าเป็นออก ได้ เมื่อนั้นเราก็ไม่มีทุกข์ ไม่มีทุกข์ก็คือนิพพานนั่นเอง เป็นสิ่งเดียวกัน ตัวเดียวกัน คือความไม่มีเหมือนกัน ไม่มีตัวตนไม่มีจิต ไม่มีสิ่งใดๆนั่นเอง

ดังนั้นนิพพานจึงไม่ใช่สิ่งที่สูงสุดเอื้อม แม้จะเป็นสิ่งสูงสุด แต่ก็ไม่ไกลเกินคว้า ความไม่มีทุกข์คือสิ่งสูงสุดของศาสนาพุทธ ไม่มีทุกข์หรือนิพพานเป็นสิ่งสูงสุดด้วยเหตุนี้ และเมื่อใดที่เราไม่มีทุกข์ เราจะเรียกธรรมชาติที่ไม่มีทุกข์ว่าหมดทุกข์ก็ได้ ดับทุกข์ก็ได้ นิพพานก็ได้ สิ้นภพสิ้นชาติก็ได้ แล้วแต่เราจะเรียกเพราะมันเป็นสิ่งเดียวกัน คนเราเข้าใจผิดไปเองว่านิพพานคือสิ่งสิ่งหนึ่งที่ต้องมีบารมีแบบนั้นแบบนี้จึงจะได้นิพพาน เข้าใจนิพพานไปในเชิงเป็น ของวิเศษของขลังของศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ของที่จะได้กันง่ายๆ ขอให้ใช้ปัญญาใคร่ครวญดู นิพพานแปลว่าเย็น หมายถึงเย็นใจ เย็นจากความเร่าร้อนของกิเลส คนจะเย็นแบบนั้นได้คือไม่มีทุกข์นั่นเอง ใครไม่มีทุกข์เขาก็เรียกคนนั้นว่ามีชีวิตที่เย็น หรือมีชีวิตนิพพานนั่นเอง อาจเย็นชั่วขณะคือไม่มีทุกข์ชั่วขณะ ก็นิพพานชั่วขณะ เย็นถาวรก็ไม่มีทุกข์ถาวรก็เรียกนิพพานถาวร ซึ่งทุกคนทำได้ หมดทุกข์ได้ ไม่มีทุกข์ได้ นิพพานได้ ตลอดเวลา ถ้ารู้จักวิธีทำชีวิตให้เย็น ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้า

นี่คือนิพพานที่ชาวพุทธควรรู้จัก ควรเข้าใจ ควรเข้าถึง และไม่จำเป็นต้องไปรอชาติไหนๆ ชาตินี้ วันนี้ เดี๋ยวนี้ เราก็รู้จัก เราก็เข้าใจ เราก็เข้าถึงได้ ขอเพียงคุณต้องการมันจริงๆ และเริ่มลงมือทำจริงๆ ทุกๆคนทุกๆท่านก็มีนิพพานเป็นอารมณ์ได้อย่างแน่นอน

เจริญธรรม
สมสุโขภิกขุ


วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การป่วยตามสาเหตุของแพทย์แผนไทย


การป่วยตามสาเหตุของแพทย์แผนไทย (คัมภีร์โรคนิทาน ที่กล่าวถึงสาเหตุของโรค และ ความผิดปกติของธาตุต่างๆ และรสยาต่างๆ) มี 8 ประการ....
1. กินไม่สมดุลย์
2.อิริยาบถ4ไม่สมดุลย์
3.อากาศไม่ดี
4.อด ข้าว/น้ำ/นอน
5.กลั้น อุจจาระ/ปัสสาวะ
6.เกินกำลัง ออกกำลัง/บ้ากาม
7.เศร้า/ดีใจ เกินเหตุ
8.โกรธ เจ้าโทสะ มุทะลุ ดุดัน

หากวิเคราะห์ตามการแพทย์แผนปัจจุบันนี้ก็นับว่า ทั้ง8ข้อทำให้ร่างกายอ่อนแอ ขาดภูมิต้านทาน ทำให้ป่วยง่ายจริงครับ
ข้อมูลจากfacebookหมอสารภี  คะ7มิย.2555

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ความสุข


เพราะน้ำนั้นไม่ต่างจากน้ำแข็ง
จะปล่อยให้ความทุกข์ละลายเป็นน้ำ
หรือยอมให้น้ำแข็งกลายสภาพเป็นก้อนหิน
ให้ความทุกข์กัดกร่อนจิตใจจนฝังรากลึกเกินแก่การเยียวยา
และคนเราทุกๆคนนั้นต่างมีโอกาสเท่าเทียมกันในการถึงความสุข
ควรทำใจให้เป็นศีลให้จิตว่างปล่อยวางจากความไม่สบายใจ
สิ่งที่ทำได้คือควรมีเมตาตาให้กับตนเองให้มาก
สิ่งที่ไม่ดีพยายามคิดให้น้อยลง
เพราะทุกสิ่งอยู่ที่การคิด
พระอาจารย์ มิตซูโอะ  คาเวสโก
จากNIM Mazine ปีที่11  ฉบับประจำเดือน กุมภาพันธ์2555

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มงคลชีวิต


มงคลชีวิต
  1. ไม่มีอะไรยาก สำหรับคนที่มีความเพียร
    ไม่มีอะไรง่าย สำหรับคนที่เกียจคร้าน
    For the industrious Nothing is difficult,
    For the lazy-bones Nothing is easy.
     
  2. พิทักษ์คนพาล ระรานคนดี เป็นวิถีทางที่ผิด
    กำจัดคนพาล บริหารคนดี เป็นวิธีที่ถูก
    It is wrong to protect the rogue
    And to harass the good;
    It is right to get rid of the rogue
    And to attend the good.
     
  3. โลกนี้เป็นสวรรค์ ถ้าแบ่งปันน้ำใจ
    โลกนี้เป็นไฟ ถ้าหวังได้แต่เงิน
    The world will become a paradise
    Should the worldlings be charitable;
    The world will be aflame
    Should the worldlings be money-grubbers.
     
  4. เป็นอยู่อย่างผู้ใหญ่ ต้องใฝ่คุณธรรม
    เป็นอยู่อย่างผู้นำ ต้องทำเป็นแบบอย่าง
    To live as a mature person means to
    Have righteousness cultivated;
    To live as a leader means.
    To be an exemplar.
     
  5. เป็นอยู่อย่างคนไทย อย่าหลงใหลต่างชาติ
    เป็นอยู่อย่างฉลาด ต้องสะอาดกายใจ
    To live as a Thai means not to
    Be deluded by foreigners;
    To live wisely means to be clean
    In the body and the mind.
     
  6. อาชีพทำได้ตามกาล การศึกษาทำได้ทุกโอกาส
    Occupation is executed at certain times,
    Education is executed all the time.
     
  7. ควายโง่ยังใช้ทำงานได้ คนโง่ใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
    A stupid buffalo is still good for work,
    A stupid fellow is good for nothing.

         (
    พระพุทธพจนวราภรณ์ 8 ธ.ค. 46)

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

มานะ

มานะ
ชีวิตมีทั้งวันวาน วันนี้ และวันพรุ่งนี้
เมื่อปัจจุบันธรรม เป็นสิ่งสำคัญของชีวิต
ชีวิตในวันนี้ จึงเป็นเรื่องที่ควรคำนึงมากกว่ากาลใดๆ
วันนี้มีไว้สำหรับแก้ไข ไม่ใช่แก้ตัว

แก้ตัว..... คือไม่ยอมรับความจริงในการทำผิดของตน
.......... พยายามผลักความผิดไปให้ผู้อื่น หรือสิ่งแวดล้อม

แก้ไข..... คือยอมรับความจริง หากมีอะไรผิดพลาด
.......... บกพร่อง ก็ยอมรับผิด แล้วพยายามแก้ไข
.......... ปรับปรุง พัฒนาตนเอง

คนดี..... ชอบหาดู จุดบกพร่องของตน
.......... มีหิริโอตตัปปะ ละอายแก่ใจ กลัวบาป

คนชั่ว..... ชอบหาดูจุดบกพร่องของคนอื่น

จับผิดคนอื่น และคิดไปว่า เราดี เขาไม่ดี

เมื่อเขาดีกว่า ก็คิด อิจฉา ริษยา น้อยใจ
ถ้าดีกว่าเขา ก็คิด ถือตัวถือตน ดูถูกดูหมิ่นเขา

เป็นสภาวะที่เกิด อัตตา เกิดตัวตน

อัตตาตัวตน และทุกข์ เป็นบริษัทเดียวกัน
อัตตาตัวตน สร้างขึ้นใช้เวลานานแสนนาน
เป็นเวลาหลายภพหลายชาติ ด้วยอำนาจอวิชชา
กิเลส ตัณหา อุปาทาน คิดผิด และสำคัญผิด

สำคัญผิด 9 อย่าง หรือ มานะ 9

1. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา......... ก็ผิด
2. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา............. ก็ผิด
3. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา.......... ก็ผิด
4. เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา............ ก็ผิด
5. เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา................ ก็ผิด
6. เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา.............. ก็ผิด
7. เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา.......... ก็ผิด
8. เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา............. ก็ผิด
9. เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา........... ก็ผิด

เมื่อใจดี จะไม่มีความคิด เป็นเรา เป็นเขา

แต่จะเห็นสัตว์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ให้


โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
วัดป่าสุนันทวนาราม
บ้านท่าเตียน ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี